top of page

การเข้ามาของพระพุทธศาสนาและระบอบราชามหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมิ


คนอินเดียโบราณรู้จักภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีทั้งหมู่เกาะคาบสมุทรและแผ่นดินใหญ่ว่าเป็นดินแดนโพ้นทะเลที่เรียกว่า ‘สุวรรณภูมิ’ เป็นภูมิภาคที่มีผู้คนอยู่แล้ว เป็นบ้าน [Village] เป็นเมือง [Town] และรัฐ [Early state] มาแล้วแต่สมัยยุคเหล็กตอนปลาย คือราว ๕๐๐ BC. ลงมา เป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่งไปด้วยทรัพยากร แร่ธาตุ และของป่านานาชนิดที่พ่อค้าคนอินเดียแล่นเรือข้ามทะเลมหาสมุทรอินเดียมาค้าขายกับคนพื้นเมือง จึงกล่าวถึงการเดินเรือมาค้าขายของคนอินเดียในเอกสารโบราณ เช่น ใน ‘คัมภีร์อรรถศาสตร์’ อันเป็นตำราในการปกครองบ้านเมืองที่เป็นอาณาจักรมคธครั้งพระเจ้าอโศกมหาราช และบรรดาคัมภีร์ทางศาสนารวมทั้งตำนานชาดกอันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองของ ‘ราชามหากษัตริย์’  ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในพระชาติต่างๆ ของการบำเพ็ญบารมี


การเข้ามาค้าขายของคนอินเดียกับคนพื้นเมืองของสุวรรณภูมิแต่ครั้งนั้น คือการปะทะสังสรรค์ระหว่างกันในทางเศรษฐกิจและสังคมของคนในสมัยประวัติศาสตร์ที่มีอารยธรรมเป็นบ้านเป็นเมืองและรัฐเมื่อราว ๑,๐๐๐ BC. มาแล้ว คนพื้นเมืองในภูมิภาคสุวรรณภูมิมีความเจริญเติบโตทางสังคม จากชุมชนบ้านและเมืองมาเป็นรัฐแรกเริ่มที่เป็นรัฐเล็กๆ ที่บรรดานักโบราณคดีเรียกว่า ‘ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย’ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ‘สมัยเหล็กตอนปลาย’ เมื่อประมาณ ๕๐๐ BC. ลงมา


การปะทะสังสรรค์อันเนื่องจากการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าทางเศรษฐกิจอันเป็นเรื่องของทางวัตถุที่มีผลไปถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มคนที่มีระดับความเจริญทางวัฒนธรรมที่ต่างกัน คือ ระหว่างคนอินเดียที่มีอารยธรรม [Civilization] กับคนพื้นเมืองที่มีความเจริญในระดับวัฒนธรรมท้องถิ่น [Local culture] ของสังคมที่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองและรัฐแรกเริ่มเท่านั้น จึงเป็นผลที่ทำให้เกิดการรับวัฒนธรรม [Culture contact] ของคนอินเดียที่เจริญกว่าเข้ามาปรับใช้และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิม [Folk culture] ของผู้คนแต่ละรัฐและบ้านเมืองที่มีมาแต่เดิม


ต่างหูทองคำ ต่างหูชิ้นสำคัญพบที่เขมายี้ ขนาดราว ๔.๘ x๑.๙ เซนติเมตร หนัก ๔๔ กรัม ซึ่งมีเทคนิคการทำและลวดลายที่พบก็ทำให้อายุของการทำทองและช่างทองน่าจะเก่าไปถึงช่วงราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ  แอนนา เบนเนต [Anna Bennett] วิเคราะห์ว่าเป็นการทำด้วยเทคนิคแบบ Granulation คือการติดเม็ดทองกลมๆ เล็กๆ ลงบนผิวแผ่นทองบางๆ โดยใช้แป้งกาวที่ผสมกับทองแดงประสาน เมื่อผ่านความร้อนเนื้อทองแดงก็จะละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกับทองจนแทบไม่เห็นรอบต่อ ลูกทองกลมขนาดล็กๆ ทำเตรียมไว้ขนาดต่างๆ เพื่อนำมาติดแปะเป็นรูปร่างลวดลาย เทคนิคอันละเอียดปราณีตนี้เข้าสู่อินเดีย ผ่านทางวัฒนธรรมเปอร์เซียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๕ ในราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ (พ.ศ. ๒๒๑-พ.ศ. ๓๕๘, พ.ศ. ๓๕๘-๔๘๐) ที่ต่อเนื่องกับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ (พ.ศ. ๒๗๐-พ.ศ. ๓๑๑) เปรียบเทียบกับภาพสลักแบบนูนต่ำจักรวาทิน [Chakravarti] หรือพระจักรพรรดิราช เช่นที่ภาพนูนต่ำแบบอมราวดีจากอานธรประเทศ งานชิ้นนี้กำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๕
ต่างหูทองคำ ต่างหูชิ้นสำคัญพบที่เขมายี้ ขนาดราว ๔.๘ x๑.๙ เซนติเมตร หนัก ๔๔ กรัม ซึ่งมีเทคนิคการทำและลวดลายที่พบก็ทำให้อายุของการทำทองและช่างทองน่าจะเก่าไปถึงช่วงราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ  แอนนา เบนเนต [Anna Bennett] วิเคราะห์ว่าเป็นการทำด้วยเทคนิคแบบ Granulation คือการติดเม็ดทองกลมๆ เล็กๆ ลงบนผิวแผ่นทองบางๆ โดยใช้แป้งกาวที่ผสมกับทองแดงประสาน เมื่อผ่านความร้อนเนื้อทองแดงก็จะละลายเข้าเป็นเนื้อเดียวกับทองจนแทบไม่เห็นรอบต่อ ลูกทองกลมขนาดล็กๆ ทำเตรียมไว้ขนาดต่างๆ เพื่อนำมาติดแปะเป็นรูปร่างลวดลาย เทคนิคอันละเอียดปราณีตนี้เข้าสู่อินเดีย ผ่านทางวัฒนธรรมเปอร์เซียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๕ ในราชวงศ์เมารยะ-ศุงคะ (พ.ศ. ๒๒๑-พ.ศ. ๓๕๘, พ.ศ. ๓๕๘-๔๘๐) ที่ต่อเนื่องกับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ (พ.ศ. ๒๗๐-พ.ศ. ๓๑๑) เปรียบเทียบกับภาพสลักแบบนูนต่ำจักรวาทิน [Chakravarti] หรือพระจักรพรรดิราช เช่นที่ภาพนูนต่ำแบบอมราวดีจากอานธรประเทศ งานชิ้นนี้กำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๕

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มคนพื้นเมืองจากสังคมที่ไม่มีอักษรและภาษา [Non-literate society] เข้าสู่ความเป็นสังคมมีลายสักษณ์ [Literate society] ที่มีภาษาบาลี-สันสกฤต และศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการจากอินเดียเข้ามายังสุวรรณภูมิ


สิ่งสำคัญของอารยธรรมอินเดีย [Indic culture] ที่ข้าพเจ้าจะพูดในที่นี้ที่เป็นสถาบันทางสังคม คือ ‘ศาสนาและการปกครอง’ ที่นักวิชาการยุคอาณานิคมคิดว่าลอกแบบอย่างจากอินเดียชนิดที่ก๊อปปี้มาก็ว่าได้ [Indianization]


จึงมักให้ความเห็นที่ดูถูกสติปัญญาในความเป็นคนในดินแดนสุวรรณภูมิที่พัฒนาตัวเองจนเกิดเป็นบ้านเมืองและรัฐที่มีผู้นำปกครองในลักษณะพ่อบ้านพ่อเมืองแล้ว เพียงแต่ยังไม่เปลี่ยนไปเรียกบรรดาพ่อบ้านพ่อเมืองและหัวหน้าเผ่าพันธุ์เหล่านั้นว่าเป็น ‘ราชามหากษัตริย์’ แบบอย่างอินเดียเท่านั้น หากเป็นการรับเข้ามาบางส่วนและสิ่งที่ปรับให้เข้ากันกับวัฒนธรรมของท้องถิ่นได้


สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า ‘การปรับปรนให้เข้าเป็นของท้องถิ่น’ [Localization of cultural elements] เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ที่ข้าพเจ้าเคารพเป็นครูคือ  ศาสตราจารย์ โอ.ดับเบิลยู. วอลเตอร์ [O. W. Wolters] ใช้ในการปลดล็อคคำว่า Indianization of Southeast Asia ที่คิดเห็นโดยศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ [George Cœdès] นักโบราณคดีฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม


ยิ่งกว่านั้นในแนวคิดทฤษฎีของนักมานุษยวิทยาที่ได้รับการอบรมในเรื่อง ‘การแพร่วัฒนธรรม’ จากสังคมหนึ่งไปยังอีกสังคมหนึ่ง เช่นจากอินเดียมายังสุวรรณภูมิก็เป็นเรื่องที่ไม่แพร่เข้ามาทั้งหมดทั้ง ‘รูปแบบ’ [Form] และ ‘เนื้อหา’ [Content] แต่เป็นเพียงบางส่วนที่ผู้รับเข้ามานำไปปรับปรนให้เกิดเป็นวัฒนธรรมของตนเอง


และในการติดต่อระหว่างกันในกระบวนการค้าขายข้ามมหาสมุทรจากอินเดียมาสุวรรณภูมินั้น ก็หาได้เป็นการแลกเปลี่ยนค้าขายด้วยระบบตลาดแบบการใช้เงินตราตอบแทนกันอย่างในปัจจุบัน หากเป็นความสัมพันธ์ในทางสังคมของกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายในรูป ‘การแลกเปลี่ยนของขวัญ’ [Gift exchange] เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางไมตรีระหว่างกัน เป็นพื้นฐานก่อนที่จะมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของในการค้าขาย ดังตัวอย่างการแลกเปลี่ยนของคนในสังคมเผ่าพันธุ์ที่หมู่เกาะโทเบรียนด์ [Trobriand Islands] ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เรียกว่า Kula exchange หรือ Kularing โดยนักมานุษยวิทยาชื่อ ‘มาลินอฟสกี้’ [Bronisław Malinowski] ศึกษาไว้


การแลกเปลี่ยนแบบกูลา [Kula trade] การวิจัยของมาลินอฟสกี้ในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ Trobriand การแลกเปลี่ยนระหว่างเปลือกหอย [Soulava] และสร้อยข้อมือต่างๆ [Mwali] ซึ่งของชิ้นหนึ่งจะถูกแลกเปลี่ยนไปตามระบบการหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนชิ้นอื่นจะแลกไปตามทิศทางทวนเข็มนาฬิกา วัตถุประสงค์ของการค้าขายแลกเปลี่ยนนี้ไม่เน้นในเรื่องของผลประโยชน์ทางวัตถุแต่มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างผู้ให้และผู้รับ
การแลกเปลี่ยนแบบกูลา [Kula trade] การวิจัยของมาลินอฟสกี้ในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ Trobriand การแลกเปลี่ยนระหว่างเปลือกหอย [Soulava] และสร้อยข้อมือต่างๆ [Mwali] ซึ่งของชิ้นหนึ่งจะถูกแลกเปลี่ยนไปตามระบบการหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนชิ้นอื่นจะแลกไปตามทิศทางทวนเข็มนาฬิกา วัตถุประสงค์ของการค้าขายแลกเปลี่ยนนี้ไม่เน้นในเรื่องของผลประโยชน์ทางวัตถุแต่มุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างผู้ให้และผู้รับ

เริ่มต้นจากการผูกมิตรด้วยการนำเอาเปลือกหอยทะเลที่เป็นของหายากมาร้อยคล้ายกับลูกปัด แล้วนำไปเป็นของขวัญระหว่างกัน ระหว่างกลุ่มผู้ซื้อขายสร้อยเปลือกหอยนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น ‘สินค้าทางเกียรติภูมิ’ [Prestige goods] เป็นเรื่องที่นำมาเปรียบเทียบกับการแลกเปลี่ยนสินค้าของสังคมที่เป็นบ้านเป็นเมืองที่มีผู้นำเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ เป็นพ่อเมืองและกษัตริย์


เช่นการค้าระหว่างรัฐในเมืองไทยครั้งกรุงศรีอยุธยากับจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งเรียกกันว่าระบบ ‘จิ้มก้อง’ หรือ ‘บรรณาการ’  ความสำคัญของระบบนี้มีสองขั้นตอน ตอนแรกเป็นเรื่องที่พ่อค้าหรือผู้ที่จะมาทำการค้านำของขวัญมากำนันแก่บุคคลที่เป็นผู้นำของบ้านเมือง นับเป็นขั้นตอนของการนำมาให้ [Distribution] หลังจากนั้นผู้ที่รับของขวัญซึ่งเป็นผู้นำของบ้านเมืองก็จะทำการแจกจ่ายเป็นกำนัลให้บรรดา ‘บุคคลที่อยู่ในแวดวง’ [Entourage] ใต้อำนาจของตน ดังเช่นกษัตริย์ปูนบำเหน็จให้กับขุนนางข้าราชการที่อยู่ในฐานะและตำแหน่งลดหลั่นลงไป


ลักษณะการแจกจ่ายหรือส่งต่อของผู้นำดังกล่าวนี้เรียกว่า Redistribution เพื่อต้องการความจงรักภักดีเป็นการตอบแทน


ในการศึกษาหลักฐานโบราณคดีตามแนวคิดของนักมานุษยวิทยานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องประดับที่ทำจากของหายากเช่น แก้ว หินสี ทอง เงิน และโลหะผสมที่มีรูปแบบและลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์นั้น คือสิ่งที่เป็น ‘สินค้ามีค่า’ [Prestige goods] ที่ใช้เป็นของกำนันตามกระบวนการที่กล่าวมาแล้ว


ดังเช่นลูกปัดที่พบตามแหล่งโบราณคดีในท้องถิ่นต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแรกคิดว่าเป็นเพียงเครื่องประดับเพื่อตกแต่งร่างกายเพื่อความสวยงาม พบตามผิวดินตั้งแต่สมัยทวารวดีลงมา ของพวกนี้อาจบอกได้ถึงที่มาอายุและประโยชน์ใช้สอยที่เป็นทั้งเครื่องประดับและเครื่องเซ่นศพสำหรับคนตาย และเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงินตราในสังคมเผ่าพันธุ์แบบดั้งเดิม  แต่ในระยะหลังที่มีการขุดแหล่งโบราณคดีเพื่อหาลูกปัดจากแหล่งฝังศพและหลุมศพที่มีอายุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ขึ้นไป ก็พบบรรดาลูกปัดและเครื่องประดับที่ล้วนเป็นของเซ่นศพคนตายที่มีรูปแบบขนาด ลวดลาย สัญลักษณ์ และการแต่งสีบนผิวหินมีค่าและแก้ว รวมทั้งพบดวงตราที่มีอักษรจารึกและเครื่องประดับที่เป็นทองคำ เช่นที่เมืองอู่ทองและบ้านดอนตาเพชรแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นว่า บรรดาโบราณวัตถุจากหลุมศพเหล่านี้เป็นจำนวนมากมาจากต่างประเทศแต่สมัยฟูนันขึ้นไปจนถึงสมัยสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะการขุดค้นแหล่งฝังศพที่บ้านดอนตาเพชรนั้น พบลูกปัดและเครื่องประดับที่ทำด้วยหินและแก้วที่มาจากทั้งทางตะวันออกในเวียดนามโบราณกับที่มาจากตะวันตกของอินเดียซึ่งมีอายุแต่พุทธศตวรรษที่ ๓


Karumosa คือเรือแคนูที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแบบ Kula เจ้าของคือชาว Taunisala แห่งหมู่บ้าน  Kadawaga ในหมู่เกาะ TrobriandTrobriand 
Karumosa คือเรือแคนูที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแบบ Kula เจ้าของคือชาว Taunisala แห่งหมู่บ้าน  Kadawaga ในหมู่เกาะ TrobriandTrobriand 



ขันสำริดแบบแบบสัดส่วนดีบุกสูงหรือ High Tin Bronze พบที่คลองท่าตะเภา เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร  มีรูปแบบและคาดว่าอายุสมัยน่าจะช่วงเดียวกับขันสำริดที่พบจากแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร และใกล้เหมืองดีบุกโบราณที่เขาจมูก อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี
ขันสำริดแบบแบบสัดส่วนดีบุกสูงหรือ High Tin Bronze พบที่คลองท่าตะเภา เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร  มีรูปแบบและคาดว่าอายุสมัยน่าจะช่วงเดียวกับขันสำริดที่พบจากแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร และใกล้เหมืองดีบุกโบราณที่เขาจมูก อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี

ข้าพเจ้าให้ความสำคัญกับ ‘ขันสำริด’ ที่บรรจุลูกปัดและเครื่องประดับรวมทั้งมวลสารอื่นที่ยังไม่ทราบผลว่าเป็นชิ้นส่วนของอัฐิหรืออังคารของผู้ตายหรือไม่ แต่รอบขันมีลวดลายสลักเป็นรูปสัตว์และคนอินเดียมีเครื่องแต่งกายและทรงผมและสรีระเป็นแบบคนอินเดีย


ขันสำริดดังกล่าวนี้คือภาชนะที่รองรับสิ่งของที่เป็นสมบัติของคนตายที่สะท้อนให้เห็นว่าเป็น ‘ประเพณีฝังศพครั้งที่สอง’ [Jar burial] ที่น่าจะสัมพันธ์กับการเผาศพที่เป็นประเพณีของคนที่นับถือพุทธศาสนาหรือฮินดูแล้ว และตรงที่พบคงเป็นเนินดินเพื่อพิธีกรรมในการทำศพของคนชั้นนำ เพราะพบขันบรรจุสิ่งของคนตายหลายหลุมในบริเวณเดียวกัน ต่างไปจากบริเวณรอบนอกเนินดินซึ่งพบหลุมศพแบบฝังทั้งโครง อันน่าจะเป็นของคนธรรมดาทั่วไป


จากตำแหน่งของแหล่งฝังศพที่บ้านดอนตาเพชรตามที่กล่าวมาแล้วนี้ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆ ซึ่งพบลูกปัดและเครื่องประดับแบบเดียวกับที่ดอนตาเพชรอันนับเนื่องในภูมิวัฒนธรรมเดียวกันกับบริเวณเมืองอู่ทองแล้ว ข้าพเจ้าเข้าใจว่าแหล่งโบราณคดีที่บ้านดอนตาเพชร คือชุมชนเมืองในระยะ ‘รัฐแรกเริ่ม’ [Early state] ที่มีอายุแต่ ๕๐๐ BC. ลงมา เป็นเมืองที่ได้รับอารยธรรมอินเดียและเป็นศูนย์กลางของชุมชนในท้องถิ่นต้นลำน้ำจระเข้สามพัน


ความเป็นเมืองในยุคนี้เป็นเพียงชุมชนบ้านขนาดใหญ่ [Village writ large] ที่มีความซับซ้อนทางโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมมากกว่าชุมชนบ้านธรรมดา ต่อมาในสมัยฟูนันคือราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ลงมา จึงเกิดเมืองอู่ทองเป็นเมืองท่าภายในขึ้นที่ปลายลุ่มน้ำจรเข้สามพัน และเป็นเมืองนครรัฐที่นับถือพุทธศาสนา และมีการปกครองเป็นแบบ ‘ราชามหากษัตริย์’ เป็นเมืองที่มีศาสนสถานทั้งของศาสนาฮินดูและพุทธอยู่ด้วยกัน


แสดงว่าตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ลงมาที่ข้าพเจ้าเรียกว่า ‘สมัยฟูนัน’ นั้น เป็นยุคที่ความเป็นบ้านเมืองนอกจากจะมีการสร้างเมืองให้มีคูน้ำและกำแพงล้อมรอบแล้ว ยังมีการจัดการผังบริเวณทั้งภายในภายนอกของเมืองที่กำหนดพื้นที่บริเวณที่อยู่อาศัยของผู้คนในเมืองให้อยู่เป็นหมู่เหล่า มีการจัดการน้ำทั้งน้ำกินน้ำใช้และน้ำที่ใช้ในการเกษตรกรรมอย่างมีระเบียบให้เป็นพื้นที่ของความเป็นเมือง [Urban area] อย่างเด่นชัด


ทั้งชุมชนภายในเมืองและรอบเมืองอู่ทองล้วนอยู่เป็นหมู่เหล่าที่มีศาสนสถานเป็นศูนย์กลางและสัญลักษณ์ทางจักรวาล เช่นชุมชนที่นับถือศาสนาฮินดูมีเทวาลัยเป็นศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกของเมืองที่มีลำน้ำลำห้วยไหลลงจากเขาพุหางนาคผ่านมาลงลำน้ำจระเข้สามพัน เป็นบริเวณที่นอกจากมีเทวาลัยแล้ว ยังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำแบบบารายที่ในท้องถิ่นปัจจุบันคิดว่าเป็นคอกช้าง ลักษณะของศาสนสถานและศาสนวัตถุเป็นเช่นเดียวกันกับที่พบในเขตแคว้นตามพรลิงค์ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและแหล่งโบราณคดีของฟูนันที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างในเขตประเทศเวียดนาม


ส่วนแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยของคนที่นับถือพุทธศาสนาอยู่ทั้งภายในเมืองและรอบเมือง โดยมีพัฒนาการจากแหล่งชุมชนเดิมที่มีมาแต่สมัยสุวรรณภูมิขึ้นเป็นชุมชนในพุทธศาสนาที่มีพระสถูปเจดีย์เป็นศูนย์กลาง  และชุมชนเหล่านี้อยู่ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยทวารวดีแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘


เมืองอู่ทองทั้งในเขตเมืองและนอกเมืองที่เป็นชุมชนมาแต่สมัยสุวรรณภูมิหรือสมัยก่อนประวัติศาสตร์นั้น พบลูกปัดหินสีและแก้วสี รวมทั้งเครื่องประดับ ดวงตราสัญลักษณ์ที่มีอักษรอินเดียโบราณจารึก มีทั้งที่นำเข้ามาจากภายนอกและเป็นแหล่งผลิตเพื่อส่งต่อไปยังที่อื่น


หนึ่งในบรรดาลูกปัดหินสีที่เป็นสัญลักษณ์ ‘ตรีรัตนะ’ [Triratna] หรือ ‘นันทิยาวัตตะ’ [Nandiyavatta] อันเป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชลงมาก็พบในเขตเมืองอู่ทองนี้


ลูกปัดตรีรัตนะที่พบที่เมืองอู่ทองนี้อยู่ในความครอบครองของนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ที่ได้มาจากชาวบ้านในเขตเมืองอู่ทอง เป็นของที่ไม่ใคร่พบในบรรดาเมืองโบราณที่อยู่ในภาคกลางและภาคอื่นๆ ในฝั่งทะเลอ่าวไทย ยกเว้นบริเวณคาบสมุทรตั้งแต่จังหวัดชุมพร ระนอง ลงไปถึงสุราษฎร์ธานีและพังงา  อันเป็นบริเวณที่มีเส้นทางข้ามคาบสมุทรสมัยสุวรรณภูมิ   


ลูกปัดตรีรัตนะที่พบทางฝั่งอ่าวไทยที่สำคัญก็คือ ‘แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว’ ที่มีการขุดค้นทางโบราณคดี ทำให้พิสูจน์ได้ว่าเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าข้ามคาบสมุทรมายังชุมชนท่าเรือจอดในเขตจังหวัดระนองที่มีการขุดค้นทางโบราณคดีแล้วเช่นที่ภูเขาทองและบางกล้วย แต่แหล่งสำคัญที่ข้าพเจ้าไปเห็นมาคือ ‘บริเวณคลองหนูและเขมายี้’ บนเกาะสองในเขตแดนพม่าที่นายแพทย์บัญชาค้นพบ


ข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมสำรวจกับนายแพทย์บัญชาและเขียนรายงานเสนอไว้ในวารสารเมืองโบราณ บริเวณคลองหนูริมอ่าวใหญ่คือบริเวณ ‘ท่าเรือจอด’ [Entry port] แต่เขมายี้ที่ห่างขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว ๘ กิโลเมตร คือตำแหน่ง ‘เมืองท่า’ [Emporium] เช่นเดียวกับเขาสามแก้ว เป็นแหล่งเมืองที่รวมสินค้ามาทำการแลกเปลี่ยน และในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่เป็นเครื่องใช้สอย เครื่องประดับ ลูกปัด แก้วแหวนเงินทองที่นำรูปแบบจากอินเดีย กรีกโรมัน เปอร์เซีย และอาหรับส่งต่อออกไปในรูป ‘สินค้ามีค่า’ [Prestige goods] ดังเช่นลูกปัดตรีรัตนะ และลูกปัดอื่นๆ ที่มีทั้งทำด้วยหินสี แก้ว ทองคำที่มีจารึกหรือลวดลายสัญลักษณ์ที่มาจากอินเดียแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๓ ลงมา เช่นสมัยโมริยะ-สุงคะ เป็นต้น


การพบทั้งแหล่งท่าเรือจอด [Entry port] และเมืองท่า [Emporium] ดังกล่าวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องราวที่มีอยู่ในเอกสารโบราณที่ว่า บรรดาพ่อค้าที่ข้ามทะเลมายังสุวรรณภูมินั้นไม่ได้แล่นเรือมาถึงแลกเปลี่ยนสินค้าแล้วกลับ หากมีคนบางกลุ่มบางเหล่าเข้ามาด้วย อาจจะมาอยู่ชั่วคราวรอเวลากลับตามฤดูกาลของลมมรสุมหรือตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร เช่นพวกที่มีฝีมือในการช่างเพื่อผลิตสินค้ามีค่า [Prestige goods]


ดังในหลักฐานทางเอกสารกล่าวถึงการตั้งกิลด์ [Guild] ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนของช่างฝีมือ งานช่างฝีมือเหล่านี้เป็นลักษณะงานที่มีขึ้นตอนเป็นอุตสาหกรรมที่อาจจะมีอยู่รวมอยู่ในบริเวณเมืองท่าเช่นเขาสามแก้วและเขมายี้ หรือกระจายอยู่ตามถิ่นอื่นๆ ในลักษณะที่เป็น Cottage industries ที่สะท้อนให้เห็นจากแหล่งพบลูกปัดที่นายแพทย์บัญชาไปพบเห็นมา


ณ เมืองเขมายี้ ที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปสำรวจและศึกษาร่วมกับนายแพทย์บัญชา นอกจากจะได้พบเห็นบรรดาลูกปัดมีค่าที่มีรูปและลวดลายสัญลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมมากมาย อันเป็นของเคลื่อนย้ายได้แล้ว ก็ยังพบโบราณวัตถุที่เป็นชิ้นส่วนของสิ่งที่เป็นโครงสร้างติดที่ ซึ่งมีลวดลายแกะสลักและจารึกเช่นเดียวกับที่พบลูกปัดอันเป็นของเคลื่อนย้ายได้


ในบรรดาสิ่งที่พบเห็นเหล่านี้ ข้าพเจ้าไม่พบพระพุทธรูป จนแม้แต่ลวดลายที่เป็นพระพิมพ์ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าต้องตีความในขณะนี้ว่า แหล่งโบราณคดีเขมายี้อยู่ในยุคสมัยก่อนการมีพระพุทธรูปที่เกิดในพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ลงมา แต่เหนืออื่นใดในบรรดาโบราณวัตถุทางสัญลักษณ์ที่นายแพทย์บัญชาพบและรวบรวมไว้ได้จากเขมายี้ก็คือ ชิ้นส่วนของ ‘ผอบที่บรรจุพระธาตุ’ กับ ‘ตุ้มหูทองคำ’ มีลวดลายรูปช้างและสตรี อันเป็นสัญลักษณ์ช้างแก้วและนางแก้วอันเป็นแก้วเจ็ดประการแห่ง ‘จักรวาทิน’ หรือ ‘พระจักรพรรดิราช’


ตุ้มหูทองคำ มีลวดลายรูปช้างและสตรี อันเป็นสัญลักษณ์ช้างแก้วและนางแก้วอันเป็นแก้วเจ็ดประการแห่ง ‘จักรวาทิน’ หรือ ‘พระจักรพรรดิราช’ พบที่เขมายี้ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกระบุรี ในสหภาพเมียนมาร์
ตุ้มหูทองคำ มีลวดลายรูปช้างและสตรี อันเป็นสัญลักษณ์ช้างแก้วและนางแก้วอันเป็นแก้วเจ็ดประการแห่ง ‘จักรวาทิน’ หรือ ‘พระจักรพรรดิราช’ พบที่เขมายี้ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกระบุรี ในสหภาพเมียนมาร์

ลูกปัดทำจากหินและแก้ว พบจากบริเวณเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร พบลูกปัดแบบตรีรัตนะอยู่โดยทั่วไป
ลูกปัดทำจากหินและแก้ว พบจากบริเวณเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร พบลูกปัดแบบตรีรัตนะอยู่โดยทั่วไป

ชิ้นส่วนของผอบที่พบที่เขมายี้นี้เมื่อนำไปประกอบเพื่อหารูปเต็ม พบว่าเป็นแบบเดียวกับของที่พบที่เมืองกบิลพัสดุ์และเมืองตักศิลาแต่สมัยพระเจ้าอโศกลงมา ในขณะที่ตุ้มหูทองคำผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีของอินเดียบอกว่า เป็นแบบเดียวกันกับตุ้มหูของภาพสลักจักรวาทินที่เมืองอมราวดีในพุทธศตวรรษที่ ๕


ทั้งชิ้นส่วนของผอบบรรจุพระธาตุและตุ้มหูทองคำที่พบที่เขมายี้ คือสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ถึงบางอ้อในเรื่องราวเข้ามาของพระพุทธศาสนาและการปกครองแบบราชามหากษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมิ ว่าเป็นเรื่องที่เข้ามาจากการค้าขายทางทะเลข้ามมหาสมุทรอินเดีย จากฝั่งตะวันออกของอินเดียมายังฝั่งทะเลอันดามันของคาบสมุทรสยามหรืออีกนัยหนึ่งคาบสมุทรไทย


การเข้ามาดังกล่าวนี้น่าจะเกิดขึ้นภายหลังการส่งพระสมณทูตโสณะและอุตตระเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในรัชกาลพระเจ้าอโศก ซึ่งก็สอดคล้องกันกับบรรดาโบราณวัตถุ เช่น ตรีรัตนะ ตุ้มหู ทองคำ และขันสำริดที่มีลวดลายสัญลักษณ์ รูปสตรี พบที่ดอนตาเพชรและเขาสามแก้วซึ่งมีอายุราวสมัยราชวงศ์โมริยะ–สุงคะลงมา


ที่คลองหนูอันเป็นแหล่งเรือจอดและที่เขมายี้ พบพระสถูปจำลองเล็กๆ คล้ายกับบรรดาสถูปดินเผาที่พบร่วมกับพระพิมพ์ในสมัยศรีวิชัยราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ลงมา  แต่มีขนาดใหญ่กว่า คงเป็นวัตถุเคารพที่มากับชาวเรือและผู้คนในชุมชนสมัยก่อนที่มีการสร้างพระพุทธรูป ส่วนตรีรัตนะนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการหมุนธรรมจักร อันหมายถึง มรรคสี่มีองค์แปดในพระอริยสี่ เป็นสัญลักษณ์และวัตถุมงคลที่มีมาจนราวพุทธศตวรรษที่ ๕-๖ ก็ค่อยๆ หมดไป และไม่ค่อยแพร่หลายออกไปจากบริเวณคาบสมุทร


สมัยต่อมาในยุคฟูนัน แถบดินแดนภายในเช่นที่เมืองอู่ทองและลพบุรี ทั้งตรีรัตนะและวัตถุสัญลักษณ์ต่างๆ ก็พบไม่เท่ากับการแพร่หลายของพระธาตุที่เข้ามากับเรือค้าขาย ได้ถูกส่งต่อและผลิตต่อไปยังชุมชนในท้องถิ่นต่างๆ ห่างไกลจากบริเวณคาบสมุทรในลักษณะที่เป็นลัทธิบูชาที่มีการประกอบพิธีกรรมและสอนศาสนา ทำให้เกิดการสร้างพระสถูปขึ้นเป็นศูนย์กลางทางจักรวาลของชุมชนบ้านเมืองและรัฐในเวลาต่อมา เกิดเป็นวัดวาอารามขึ้นมาในพื้นที่สาธารณะของชุมชน เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระสถูปบรรจุพระธาตุเป็นศูนย์กลางของการเคารพและประกอบพิธีกรรม และเป็นสำนักที่อยู่ของบรรดาสมณะชีพราหมณ์ที่เผยแพร่ความรู้ทางพุทธศาสนา และการประกอบพิธีกรรมในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ให้บรรดาผู้นำของบ้านเมือง ทั้งเข้ามาเป็นพราหมณ์ปุโรหิตให้แก่บรรดาผู้นำที่ตั้งตัวเป็น ‘ราชามหากษัตริย์’ แบบอย่างของคนอินเดีย



The Advent of Buddhism and Kingship in Suvarnabhumi


Srisakra  Vallibhotama

Translated by Pornnalat Phachyakorn


Overview


The early trade between India and Southeast Asia, also known as ‘Suvarnabhumi’ or ‘the Land of Gold,’ had contributed to the development of the communities and cultures in the region by bringing along the ancient Indian civilization. This article will focus on the adoption of Indian traditions of religion and political administration in the Suvarnabhumi region.


The great richness of natural resources and goods in Suvarnabhumi had attracted Indian traders since 1,000 BCE., prompting social and economic interactions between the more developed culture and the other with emergent cultures. To the peoples of Suvarnabhumi, the cultural contact with India meant an introduction to a literate society as well as distinct forms of arts and science. However, in terms of religion and governance, it is debatable that Suvarnabhumi societies were completely Indianized states since they had developed their own forms of local governance as early as 500 BCE. In other words, the concepts of kingship had already been in place in the region long before India’s cultural transmission, the Indian kingship was, thus, later adopted and integrated into the local context.


According to various archaeological evidence, it can be concluded that in the early Suvarnabhumi period prior to the reign of an Indian ruler King Ashoka the Great, the commercial interaction with India via sea-route did not only bring the goods exchange, but also established good relations and closeness with the local. Many Indian merchants and traders had taken residence and established trade communities in Suvarnabhumi states. The settlement and colonies of Indians can pass on their way of life in the host countries and intermarriage with locals would reinforce and accelerate the voluntary imposition of Indian culture.


As Buddhism was a significant religion of India’s merchant caste, it was common for the Buddhist monks and Brahmans to travel along with them. Through these evangelists that Indian religious and divine kingship traditions were transmitted to the rulers and people of Suvarnabhumi states. Buddhism played a major role in instilling the concepts of kingship because Buddhism explains a cosmology where ‘Chakkravartin’ or the king is the central figure in society.


India’s religious and political influence is also visible in this region through art forms, such as a bas-relief depicting an image of King Ashoka turning the Wheel of Dharma (Dharma Chakra).


Translator : Pornnalat Prachyakorn


Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
image.png
ประกาศความเป็นส่วนตัว
นโยบายข้อมูลส่วนบุคคล
image.png
  • Facebook
  • Instagram
  • YouTube
bottom of page